บิ๊กอาย

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปัญหาวัยรุ่น ต้นเหตุและทางแก้

ปัญหาวัยรุ่น ต้นเหตุและทางแก้

เวลา ที่รับรู้ปัญหาของวัยรุ่น หลายคนมีความหงุดหงิด ไม่พอใจ เบื่อ รู้สึกว่าทำไมไม่เลือกสิ่งที่ดีให้กับตนเอง ทำไมต้องสร้างปัญหา คนจำนวนหนึ่งอยากจัดการปัญหาด้วยความรุนแรง ในความเป็นจริงพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นมีเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกัน ถ้าจัดการเฉพาะที่ตัววัยรุ่น คงแก้ปัญหาได้เพียงบางส่วน

ทำไมเด็กบาง คนเกิดปัญหาพฤติกรรม ทำไมเด็กบางคนมีความเสี่ยงเรื่องความรุนแรงและเรื่องเพศ ทำไมเด็กบางคนไม่มีปัญหาทั้งที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยง

แพทย์หญิงพรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล อธิบาย ถึงปัญหานี้ว่า การเกิดปัญหาของวัยรุ่นมีปัจจัยเสี่ยงทั้งในตัวเด็กและในสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันมีปัจจัยปกป้องที่ช่วยให้เด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม แม้จะแวดล้อมด้วยสภาพที่เสี่ยงก็ตาม

ในทางจิตวิทยา ถ้าจะแก้ไขปัญหาเด็ก ต้องลดปัจจัยเสี่ยงในตัวเด็กและสิ่งแวดล้อมลง และสร้างปัจจัยปกป้องเพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ ดังนี้

เริ่มจากความเสี่ยงแรกคือความเสี่ยงในตัวเด็ก ซึ่งมีผลมาจากครอบครัว การไม่ได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว ถูกมองว่าเป็นแกะดำ ใช้ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง จะทำให้เด็กมีความคิดต่อต้านสังคม ไม่ยอมรับกติกาการอยู่ร่วมกัน

จากสภาวะดังกล่าวจะทำให้เด็กมีทัศนคติ ที่ดีต่อพฤติกรรมที่เป็นปัญหา มองพฤติกรรมเหล่านั้นในลักษณะโก้ เป็นที่ยอมรับในกลุ่ม ให้ความพอใจอย่างทันทีทันใด โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา

นอก จากนี้การที่เริ่มมีปัญหาตั้งแต่อายุยังน้อย ในเด็กที่อยู่ในสภาพปัญหาตั้งแต่กระบวนการคิดพิจารณาด้วยตัวเด็กเองยังไม่ สามารถคิด ตัดสินใจได้ ทำให้ถูกหล่อหลอมความคิดความเชื่อที่ไม่เหมาะสม

ความเสี่ยงต่อมาได้แก่ ความเสี่ยงจากครอบครัว ครอบครัวบางครอบครัวยอมตามลูก ไม่รู้วิธีที่จะจูงใจเด็กให้ทำตามคำสั่งของพ่อแม่ บางครอบครัวทิ้งลูกไม่เคยรู้ว่าลูกมีปัญหาอย่างไร บางครอบครัวใช้วิธีบังคับรุนแรงแต่ไม่เคยแก้ปัญหาเด็กได้จริง ครอบครัวมีความขัดแย้ง มีปัญหาในครอบครัว เด็กไม่อยากกลับบ้าน ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน ในที่สุดมีกลุ่มของตนเองซึ่งเด็กรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มมากกว่าของครอบ ครัว

บางครอบครัวส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นปัญหา มีทัศนคติยอมรับพฤติกรรมของเด็ก และมองปัญหาว่ามาจากคนอื่น เช่น โทษว่าเพื่อนลูกเป็นต้นเหตุ ปกป้องเด็กในทางที่ผิด ไม่ฝึกเด็กให้รับผิดชอบการกระทำของตนเอง พ่อแม่แก้ไขปัญหาพฤติกรรมลูกด้วยวิธีที่ผิด

นอกจากนี้การที่มีพ่อแม่ มีปัญหาพฤติกรรมไม่น้อยไปกว่าลูก เรียกว่าเป็นพ่อปูกับลูกปูเดินตามกันมา จะทำให้เด็กซึมซับความเห็นแก่ตัว ไม่สนใจเรื่องศีลธรรมมาจากตัวพ่อแม่

ความเสี่ยงในชุมชนและสังคมเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ การ เข้าถึงอบายมุข เหล้า ยา อาวุธ เรียกว่าแวดล้อมด้วยสิ่งจูงใจให้มีความเสี่ยง ทัศนคติของชุมชนเองยอมรับอบายมุข ยอมให้มีสิ่งมอมเมา ผู้ใหญ่ทำผิดให้เด็กเห็น

ค่านิยมของสังคมที่ยอมรับพฤติกรรมเสี่ยง ผู้ใหญ่มีพฤติกรรมเสี่ยงเหมือนเด็ก ผู้ใหญ่บางคนเป็นต้นแบบทางสังคมแต่มีวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม ขาดมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีความเสี่ยง ขาดนโยบายที่ชัดเจนต่อเนื่อง ปัญหาไม่สามารถแก้ได้ในพริบตา ต้องวางแนวคิดการพัฒนาที่หวังผลในระยะเป็นสิบปี ซึ่งต้องการการตัดสินใจทางนโยบายที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้เด็ก

สำหรับหนทางในการแก้ปัญหา ต้องหาทางป้องกันหรือลดความเสี่ยงลง และสร้างภูมิต้านทานให้กับลูก ดังนี้

* สร้างเป้าหมายในชีวิต ในวัยรุ่นการมีเป้าหมายในชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ การค้นพบสิ่งที่ตนเองต้องการ และมีความหวังในอนาคต ทำให้เด็กเชื่อมั่น และต้องการเดินทางไปให้ถึง ความมุ่งมั่นในเป้าหมายจะทำให้เด็กตั้งใจ ยึดมั่นในความสำเร็จมากกว่าใช้เวลากับสิ่งที่ยั่วยุ

ปัญหาใหญ่ของ วัยรุ่นไทยส่วนหนึ่งไม่เคยสนใจอนาคตตัวเอง เพราะมีคนคิดแทน จัดการกำหนดให้ว่าควรจะทำอย่างไร โดยตัวเด็กไม่เคยรู้สึกว่าเป็นความต้องการของตนเอง ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มขาดโอกาสทางสังคม แม้จะตั้งความหวัง แต่ชีวิตไม่เคยมีโอกาสจะไปถึง เด็กกลุ่มนี้ทิ้งอนาคตตัวเอง เอาชีวิตรอดไปวันๆ

* สร้างบุคลิกภาพที่มั่นคง เป็นผลมาจากการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เด็กมีความเชื่อมั่นในคนรอบข้างโดย เฉพาะคนที่เป็นพ่อและแม่ เชื่อมั่นว่าพ่อแม่สามารถให้คำแนะนำอย่างเข้าใจ พูดคุยปัญหากับพ่อแม่ได้ มั่นใจในตนเอง มีความภาคภูมิใจ จะสัมพันธ์กับความมั่นใจว่าตนเองสามารถมีชีวิตที่ดีแม้จะแวดล้อมด้วยสิ่งที่ เป็นอบายมุข เด็กกลุ่มนี้จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้าง ทำให้มีกลุ่มเพื่อน คนที่เด็กสามารถไว้วางใจได้

* มีความเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง อบรมสั่งสอนตั้งแต่วัยเด็ก สามารถแยกแยะสิ่งที่ถูกต้องได้ และมีความเชื่อมั่น แม้จะเห็นคนอื่นทำสิ่งที่ผิด แต่ยังยืนหยัดที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่เด็กแสวงหาความหมายของชีวิต การมีประสบการณ์ที่สอนเรื่องชีวิตทำให้เด็กเข้าใจสถานการณ์ในชีวิตดีขึ้น พื้นที่ดีๆ ที่สอนการเรียนรู้สำหรับเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็น


ใน ส่วนของครอบครัวย่อมมีความสำคัญในการแก้ปัญหา เริ่มจากสัมพันธภาพในครอบครัว จะเป็นตัวบ่งบอกอุณหภูมิในบ้านว่าสมาชิกอยากกลับมาที่บ้านและเป็นส่วนหนึ่ง ของครอบครัว สายสัมพันธ์ที่มีต่อกันทำให้เด็กคำนึงว่าสิ่งที่ตนกระทำจะเกิดผลอย่างไรกับ ครอบครัว และด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ทำให้อบรมสั่งสอนลูกด้วยความรักได้ สัมพันธภาพที่ดีเกิดจากความสามารถในการสื่อสารความรักต่อกัน เมื่อเด็กเริ่มโตเริ่มมีความต้องการเป็นของตนเองมักเกิดความขัดแย้งกับ ผู้ใหญ่ การสื่อสารด้วยเหตุผลเป็นการอธิบายความต้องการของพ่อแม่และรับฟังความต้อง การของลูก

ดังนั้นการฝึกทักษะสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกโตเป็นวัยรุ่น เป็นเรื่องจำเป็น จะพูดอธิบายความต้องการของตนเองอย่างไร จะแสดงความรักกับลูกอย่างไร ทำอย่างไรลูกจะเข้าใจความคาดหวังของพ่อแม่ในทางที่ดี ไม่ใช่การกดดัน

ครอบ ครัวพร้อมสนับสนุนเด็กวัยรุ่นมีปัญหาได้ง่าย มีความอยากลองอยากเรียนรู้ บางครั้งมีความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ต้องการการจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเข้าใจให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ พ่อแม่ต้องมีทักษะในการแก้ปัญหาโดยใช้วิธีทางบวก อธิบาย อบรม ชี้แนะ ให้กำลังใจมากกว่าการใช้อารมณ์ ประชด ด่าว่า ไล่ออกจากบ้าน

หากเริ่มต้นแก้ปัญหาเล็กๆ ไม่ได้ เด็กจะขยับเข้าไปหากลุ่มที่นำไปสู่ปัญหาพฤติกรรมที่รุนแรงขึ้น

ด้าน สังคมและชุมชน ต้องร่วมกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับเด็ก เข้าถึงเหล้าบุหรี่ยาเสพติดได้ยาก รวมทั้งอบายมุขทุกชนิด ชุมชนให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็ก จัดพื้นที่ทางสังคมให้กับเด็กเพิ่มมากขึ้นในขณะที่พยายามลดพื้นที่ที่ทำให้ เด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาลง และการวางนโยบายระยะยาวว่าจะลงทุนอย่างไรในการสร้างปัจจัยปกป้องทุกด้านให้ กับเด็ก ปัญหาวัยรุ่นที่พ่อแม่กำลังเผชิญอยู่ เป็นช่วงเวลาหนึ่งของพัฒนาการของลูก อยากเห็นลูกเป็นอย่างไรในอนาคต ต้องใช้เวลาที่ดีต่อกันในการดูแลลูกในวันนี้

ที่มาของโปงลาง

โปงลาง มีลักษณะวิธีการบรรเลงคล้ายกับระนาดเอก คือนำท่อนไม้ หรือกระบอกไม้มาร้อยติดกันเป็นผืน และใช้ไม้ตีเป็นทำนองเพลง แขวนตี กับเสาบ้าง ขึงบนรางบ้าง หรือบางทีก็ผูกติดกับตัวผู้บรรเลง เครื่องดนตรีชนิดนี้พบทั่วไปในหลายประเทศ สำหรับในประเทศไทยพบในแถบภาคอีสาน และเรียกเครื่องดนตรีนี้หลายชื่อด้วยกัน เช่นเรียกว่า หมากกลิ้งกล่อม หมากขอลอ หรือหมากโปงลาง เป็นต้น ที่ได้ชื่อว่า หมากขอลอ เพราะเวลาเคาะแต่ละลูกมีเสียงดังกังวานคล้าย ขอลอ (หมายถึง เกราะ ในภาษาอีสาน)
ส่วนคำว่า โปงลาง นั้น เดิมเป็นคำที่ใช้เรียก กระดึงสำริด ที่ใช้แขวนคอวัวในสมัยโบราณที่เรียกกระดึงนี้ว่าโปงลางคงเรียกตามเสียงที่ ได้ยิน ต่อมามีผู้นำชื่อนี้ไปตั้งเป็นชื่อ ลายแคน (การบรรเลงแคน) ที่เป่าเลียนเสียงโปงลางที่ผูกคอวัวเรียกว่า ลายโปงลาง และที่เรียกว่าหมากกลิ้งกล่อมก็เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงไพเราะ สามารถกล่อมให้ผู้ฟังมีความเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน

โปงลาง นิยมทำจากไม้มะหาด หรือไม้หมากเหลื้อม เพราะเป็นไม้ที่มีความอยู่ตัวมากกว่าไม้อื่นๆ วิธีการทำเอาไม้มาถากเหลาให้ได้ขนาดลดหลั่นกันตามเสียง ที่ต้องการในระบบ 5 เสียง โปงลาง 1 ชุดจะมีจำนวนประมาณ 12 ลูก ใช้เชือกร้อยรวมกันเป็นผืน เวลาตีต้องนำปลายเชือกด้านหนึ่งไปผูกแขวนไว้กับเสาในลักษณะห้อยลงมา ส่วนปลายเชือกด้านล่างจะผูกไว้กับขา หรือเอวของผู้ตี วิธีการเทียบเสียง โปงลาง ทำโดยการเหลาไม้ให้ได้ขนาด และเสียงตามต้องการ ยิ่งเหลาให้ไม้เล็กลงเท่าใดเสียงก็จะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งแตกต่างจากระนาดในปัจจุบัน ที่มีเจ็ดเสียง และมีการปรับแต่งเทียบเสียงด้วยการใช้ ตะกั่วผสมขี้ผึ้ง ถ่วงใต้ผืนระนาด เพื่อให้ได้ระดับเสียง และคุณภาพเสียงที่ต้องการ การบรรเลงหมากกลิ้งกล่อม หรือโปงลาง นิยมใช้ผู้บรรเลงสองคนต่อเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น แต่ละคนใช้ไม้ตี ๒ อัน การเรียกชื่อเพลงที่บรรเลงด้วยโปงลางมักจะเรียกตามลักษณะและลีลาของเพลงโดย การสังเกตจากสภาพของธรรมชาติที่อยู่รอบ ๆ ตัว เช่น เพลง "ลายนกไซบินข้ามทุ่ง" หรือเพลง "ลายกาเต้นก้อน" เป็นต้น


โปงลางนั้นนอกจากจะใช้บรรเลงตามลำพังแล้ว ยังนิยมใช้บรรเลงเป็นวงร่วมกับ เครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น พิณ แคน กลอง เพื่อการฟังและใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนพื้น บ้านอีสานได้เป็นอย่างดี ต่อมาภายหลัง อาจารย์เปลื้อง ฉายรัศมี ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติ ได้ประยุกต์วงโปงลางขึ้นใหม่ โดยนำกระดึงผูกคอวัวที่เป็นโลหะมาแขวนเรียงแทนลูกโปงลางเดิมที่ทำด้วยไม้ ทำให้เกิดมิติของเสียงที่แตกต่างจากการบรรเลงโปงลางแบบเดิม นับเป็นต้นแบบของ การพัฒนาโปงลางในระยะต่อมา เช่น การทำลูกโปงลางด้วยแผ่นทองเหลืองขนาดต่าง ๆ รวมถึงการนำเอาไม้ไผ่มาเหลาให้มีขนาดลดหลั่นกัน ทำให้ได้เสียงที่ทุ้มและนุ่มนวลขึ้น

ต้นกำเนิดโปงลาง
โปงลาง บางแห่งเรียกว่า หมากกลิ้งกล่อม หมากเตอะเติน เป็นเครื่องดนตรีที่พัฒนามาจาก "เกราะลอ" หรือ ขอลอ คำว่า "โปงลาง" นี้ ใช้เรียกดนตรีชนิดหนึ่ง ที่มีการเล่นแพร่หลายทางภาคอีสานตอนกลางและตอนเหนือบางส่วน โดยเฉพาะจังหวัดกาฬสินธุ์ มีการเล่นแพร่หลายมาก เพราะเป็นที่กำเนิดโปงลาง ความหมายของโปงลางนั้นมาจากคำ ๒ คำ คือ คำว่า "โปง" และ "ลาง"
โปง เป็นสิ่งที่ใช้ตีบอกเหตุ เช่น ตีในยามวิกาลแสดงว่ามีเหตุร้าย ตีตอนเช้าก่อนพระบิณฑบาตให้ญาติโยมเตรียมตัวทำบุญตักบาตร และ ตีเวลาเย็นเพื่อประโยชน์ให้คนหลงป่ากลับมาถูก เพราะเสียงโปงลางจะดังกังวาลไปไกล (สมัยก่อนใช้ตีในวัด) ส่วนคำว่า ลาง นั้น หมายถึง ลางดี ลางร้าย
โปงลางนั้นก่อนที่จะเรียกว่า โปงลาง มีชื่อเรียกว่า "เกราะลอ" ซึ่ง เกราะลอ มีประวัติโดยย่อคือ ท้าวพรหมโคตร ซึ่งเคยอยู่ประเทศลาวมาก่อนเป็นผู้ที่คิดทำเกราะลอขึ้น โดยเลียนแบบ "เกราะ" ที่ใช้ตีตามหมู่บ้านในสมัยนั้น เกราะลอทำด้วยไม้หมากเลื่อม (ไม้เนื้ออ่อน สีขาว มีเสียงกังวาล ) ใช้เถาวัลย์มัดร้อยเรียงกัน ใช้ตีไล่ฝูงนก กา ที่มากินข้าวในไร่ ในนา ต่อมาท้าวพรหมโคตร ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางเหมือน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และได้ถ่ายทอดการตีเกราะลอให้แก่นายปาน นายปานได้เปลี่ยนเกราะลอ จากเดิมมี 6 ลูก เป็น 9 ลูก มี 5 เสียง คือ เสียง โด เร มี ซอล และ ลา เมื่อนายปานเสียชีวิต นายขานน้องนายปานได้รับการถ่ายทอดการตีเกราะลอ และนายขานนี่เองที่เป็นคนถ่ายทอด การตีเกราะลอให้กับศิลปินแห่งชาติผู้พัฒนาโปงลางให้เป็นเครื่องดนตรีที่ใครๆ ก็รู้จัก นายเปลื้อง ฉายรัศมี
เนื่อง จากเกราะลอใช้สำหรับตีไล่ ฝูงนก กา ที่มากินข้าวในไร่นา ดังนั้น จึงมีเกราะลออยู่ในทุกโรงนา (อีสานเรียกว่า เถียงนา) เมื่อเสร็จจากภาระกิจในนาแล้ว ชาวนาจะพักผ่อนในโรงนาและใช้เกราะลอเป็นเครื่องตี เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ โดยเกราะลอนี้จะตีนอกหมู่บ้านเท่านั้น เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าตีในหมู่บ้านจะเกิดเหตุการไม่ดี เช่น ฟ้าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เป็นต้น
การเรียนการตีเกราะลอในสมัยก่อน เป็นการเลียนแบบ คือเป็นการเรียนที่ต้องอาศัยการจำโดยการจำทำนองของแต่ละลาย เกราะลอที่มี 9 ลูกนี้จะเล่นได้ 2 ลายคือ ลายอ่านสือใหญ่ (อ่านหนังสือใหญ่) และลายสุดสะแนน (เช่นเดียวกับลายแคนและลายพิณ ดังนั้นเมื่อนำมาเล่นผสมผสานกันจึงได้อรรถรสยิ่งนัก)

ปี พ.ศ 2490 นายเปลื้อง ได้เรียนวิธีทำเกราะลอ และการตีเกราะลอ จากนายขาน ลายที่ตีคือ ลายภูไทใหญ่ หรืออ่านหนังสือใหญ่ นอกจากนั้น นายเปลื้อง ยังเป็นคนที่นำเกราะลอมาตีในหมู่บ้านเป็นคนแรก ในปีแรกนั้นการตีเกราะลอไม่เพราะหูคนฟังเท่าไรนัก 2 ปีต่อมาการตีเกราะลอของนายเปลื้องจึงดีขึ้น จนชาวบ้านพากันนิยมว่าตีได้ดี
ปี พ.ศ 2500 นายเปลื้อง ได้วิวัฒนาการ การทำเกราะลอ จากแต่ก่อนหน้านี้ที่ทำด้วยไม้หมากเลื่อม มาเป็นไม้หมากหาด ( มะหาด , หาด ) ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง เวลาตีแล้วไม่บวมง่าย โดยเฉพาะไม้ที่ตายยืนต้น เสียงจะกังวาล ที่เอาไม้หมากหาดมาทำโปงลางนี้ นายเปลื้องได้รับแนวคิดจากพระที่วัด ที่นำไม้นี้มาทำโปงที่ตีบอกเหตุ หรือตีให้สัญญาณดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ต่อมานายเปลื้อง ได้คิดทำเกราะลอ เพิ่มลูกจาก 9 ลูกมาเป็น 12 ลูก เมื่อทำเสร็จลองตีดูเห็นว่าเสียงเพราะมาก
ดังนั้นในปี พ.ศ 2502 นายเปลื้องจึงเพิ่มลูกเกราะลอจาก 12 ลูกมาเป็น 13 ลูก และเพิ่มเสียงจาก 5 เสียง เป็น 6 เสียง คือ เสียง โด เร มี ฟา ซอล และลา ( ส่วนเสียง ซี นั้น ดนตรีพื้นเมืองของ
อีสานจะไม่ปรากฏเสียงนี้ จึงไม่เพิ่มเสียงนี้ไว้ ) และได้คิดลายใหม่ๆ เพิ่มเป็น 5 ลาย คือ ลายอ่านหนังสือใหญ่ ลายอ่านหนังสือน้อย ลายสุดสะแนน ลายสร้อย และได้เปลี่ยนชื่อ "เกราะลอมา" เป็น "โปงลาง" ซึ่งเรียกชื่อ ดนตรีชนิดนี้ว่า โปงลาง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ปี พ.ศ 2505 นายเปลื้องซึ่งสนใจและศึกษาโปงลาง หรือ เกราะลอเดิม มาตั้งแต่อายุ 14 ปี ตั้งแต่การเล่นนอกหมู่บ้านและนำมาเล่นในหมู่บ้าน และเคยรับงานแสดงในเทศกาลต่างๆ แต่การเล่นมักจะเป็นการเล่นเดี่ยวเท่านั้น นายเปลื้องจึงได้เกิดแนวความคิดว่า ดนตรีอีสานมีหลายอย่างด้วยกัน หากนำมาบันเลงร่วมกันคงจะมีความไพเราะและเร้าใจมากขึ้น จึงได้รวมเพื่อนๆ ตั้งวงโปงลางขึ้น โดยนำเอา ซอ พิณ แคน กลอง หมากกั๊บแก้บ ไห มาร่วมกันบรรเลง และได้รับความสนใจจากผู้ที่ได้รับชมเป็นอันมาก

ปี พ.ศ 2511 นายเปลื้อง ได้พบกับนายประชุม อินทรตูล ซึ่งเป็นป่าไม้ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ นายประชุมให้การสนับสนุน และตั้งวงโปงลางขึ้นใหม่ ชื่อว่า วงโปงลางกาฬสินธุ์ นอกจากจะมีเครื่องดนตรีและเครื่องประกอบจังหวะแล้ว ยังมีรำประกอบอีกด้วย รำในขณะนั้นก็มีรำโปงลาง รำซวยมือ รำภูไท เป็นต้น วงโปงลางกาฬสินธุ์ได้รับความนิยมตลอดมา และได้มีการอัดเทปขายให้กับผู้สนใจด้วย
เนื่องจากนายเปลื้อง ได้เปลี่ยนและย้ายไปทำงานหลายแห่ง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่นายเปลื้องทำงานในที่ต่างๆ ก็จะเผยแพร่และฝึกสอนโปงลาง และดนตรีพื้นบ้านอีสานแก่ผู้สนใจ และตั้งวงโปงลางให้แก่ที่ที่ทำงานนั้นๆ เสมอ โดยเฉพาะวงโปงลางกาฬสินธุ์นั้น นายเปลื้องได้ควบคุม ดูแล ฝึกสอนและพัฒนาตลอดมา จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้อย่างแพร่หลาย จนเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมกันอย่างกว้างขวาง ได้มีโอกาสแสดง ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ ขอนแก่น แสดงงานเฉลิมพระชนมพรรษา ที่อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น

นอกจากจะได้แสดงเผยแพร่ทางสื่อมวลชนสาขาต่างๆ แล้ว วงโปงลางยังได้มีโอกาสไปแสดงที่สวนจิตรลดา วังละโว้ วังสราญรมย์ สวนอัมพร และตามจังหวัดสำคัญใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี เมืองโบราณสมุทรปราการ โดยก่อนหน้านั้นนายเปลื้องยังได้มีโอกาสนำโปงลางไปบรรเลงพื่อเป็นการต้อนรับ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในโอกาสที่ท่านเดินทางมาเยี่ยมค่ายพระยอดเมืองขวาง จังหวัดนครพนมอีกด้วย
ถึงแม้ว่า โปงลาง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่นายเปลื้องได้พัฒนาขึ้นมานี้ จะมีอายุไม่มากนักเมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานชนิดอื่น เช่น แคน พิณ ซอ เป็นต้น แต่เนื่องจากโปงลาง เป็นดนตรีที่มีเสียงไพเราะกังวาล และให้ความรู้สึกของความเป็นพื้นบ้านอีสานได้อย่างแท้
จริง จึงทำให้โปงลางได้รับความนิยม และเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง จึงทำให้ได้รับเลือกเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบภาพยนตร์ โดยเฉพาะเรื่อง "แคนลำโขง" และ "แผ่นดินแม่" ซึ่งนายเปลื้องได้ลงมือบรรเลงโปงลาง ดนตรีที่ตนเองพัฒนามาประกอบภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องนี้ด้วยตนเอง
เนื่อง จาก "โปงลาง" ได้รับความนิยมสูงมาก ดังนั้นทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 โดยรายการชีพจรลงเท้า ได้ติดต่อนายเปลื้อง เพื่อสัมภาษณ์สาธิตวิธีทำและการเล่น ให้ได้ออกอากาศเผยแพร่ไปทั่วประเทศ
นอกจากจะเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในประเทศไทยเราแล้ว เมื่อปี พ.ศ 2516 นายเปลื้อง ฉายรัศมี โดยการนำของ ร้อยโทวิรัตน์ พงษ์สวัสดิ์ ได้เดินทางไปในลักษณะการท่องเที่ยว แต่ได้นำศิลปะวัฒนธรรมไปแสดงด้วย ซึ่งในครั้งนี้ นายเปลื้อง ได้มีโอกาสนำ โปงลาง ไปแสดงที่มาเลเซีย สิงคโปร์ อิหร่านและกรีซ ซึ่งทำให้ "โปงลาง" ได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายขึ้น และสามารถใช้เป็นสื่อทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นยังมีชาวสวิสและชาวอเมริกัน ได้ฟัง "โปงลาง" แล้วสนใจ และได้นำไปยังประเทศของตนอีกด้วย

นอกจากจะทำหน้าที่สอนดนตรีพื้นบ้านอีสานแก่นักเรียนนาฎศิลป์ ของวิทยาลัยนาฎศิลป์กาฬสินธุ์แล้ว นายเปลื้องยังได้ร่วมมือกับศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ จัดการอนุรักษ์ เผยแพร่ และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของอีสานอีกทางหนึ่งด้วย โดยจัดการอบรมและฝึกสอนดนตรีพื้นบ้านอีสาน จัดการประกวดโปงลาง จัดกิจกรรมวัฒนธรรมสัญจร เป็นต้น นอกจากนั้นด้วยความร่วมมือของท่านผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฎศิลป์กาฬสินธุ์ ได้ตั้งวงโปงลางของวิทยาลัยขึ้น ได้มีโอกาสเผยแพร่ไปในต่างจังหวัด เช่น พิษณุโลก นครสวรรค์ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และยังมีโอกาสไปแสดง ณ. ประเทศอินเดียด้วย
ปัจจุบันนี้นายเปลื้องได้เป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่วิทยาลัยนาฎศิลป์ กาฬสินธุ์ ทำหน้าที่สอนดนตรีพื้นบ้านอีสาน ได้แก่ พิณ ซอ แคน โปงลาง โหวด และอื่นๆ แก่นักเรียนนาฎศิลป์ พร้อมทั้งควบคุมวงโปงลางของวิทยาลัยนาฎศิลป์กาฬสินธุ์

นายเปลื้อง ฉายรัศมี เป็นนักดนตรีพื้นบ้านอีสานอย่างแท้จริง เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ สามารถเล่นและสอนดนตรีพื้นบ้านอีสานได้เกือบทุกชนิด ทั้ง พิณ แคน ซอ โปงลาง และอื่นๆ โดยเฉพาะโปงลางนั้น สามารถถ่ายทอดและเล่นได้ดีเป็นพิเศษ
และที่สำคัญที่สุดคือ นายเปลื้อง ฉายรัศมี ได้เป็นผู้ศึกษา ค้นคว้า ปรับปรุง และพัฒนาโปงลางตลอดระยะเวลา 40 ปี จนทำให้เกราะลอซึ่งเป็นเพียงสิ่งที่ใช้ตีไล่นกกาตามไร่ ตามนา พัฒนาเป็น "โปงลาง" ที่มีสภาพเป็นเครื่องดนตรี เอกลักษณ์ของภาคอีสานเคียงคู่กับแคน ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว นายเปลื้อง ฉายรัศมี จึงควรแก่การยกย่องเชิดชูไว้ในฐานะเป็น "ศิลปินแห่งชาติ" สาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้าน โดยแท้จริง


วิธีทำโปงลาง
ไม้ ที่ใช้ทำโปงลางนั้นส่วนมากจะไม้เนื้อแข็ง เพราะจะให้เสียงที่ไพเราะและกังวาล ไม้ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ ไม้หมากหาด ( มะหาด ) ใช้ทำลูกโปงลาง ไม้ประดู่ใช้ทำไม้ตีและขาตั้ง ไม้มะหาดนั้นจะแบ่งได้เป็น 3 ชนิด โดยจะแบ่งตามเกรด ดังนี้

ไม้มะหาดทองคำ จัดอยู่ในเกรด A
ไม้มะหาดดำ จัดอยู่ในเกรด B
ไม้มะหาดน้ำผึ้ง จัดอยู่ในเกรด C

การเลือกไม้
การ เลือกไม้ที่จะนำมาใช้ทำโปงลางนั้น จะต้องเป็นไม้มะหาดที่ตายแล้วประมาณ 20 ปีขึ้นไป เพราะจะให้เสียงที่ดี กังวาน และไม่ผิดเพี้ยนหลังจากการผลิต ส่วนไม้มะหาดที่ยังสดอยู่นั้น จะไม่ใช้เพราะจะทำให้เสียงเพี้ยนไปจากความเป็นจริง และเสียงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อไม้แห้งลง

วิธีทำลูกโปงลาง
ไม้ ที่ตัดมาจากต้นจะตัดเป็นท่อนๆ ท่อนละ 65 เซนติเมตร ท่อนหนึ่งจะผ่าแบ่งเป็นลูกโปงลางได้ 4-8 ลูก แล้วแต่ขนาดของท่อนไม้ ถ้าเป็นวิธีทำสมัยโบราณไม่มีเครื่องทุ่นแรงใดๆ เมื่อนำมีดมาถากไม้พอกลม ก็นำมาใช้ได้เลย ต่อมาได้นำเครื่องทุ่นแรงมาใช้คือ กบมือ จึงได้นำกบมือมาไสไม้ที่ทำโปงลางให้มีความกลมและสวยงามมากขึ้น จนถึงปัจจุบัน
ใช้มีดถากให้กลมพอประมาณ และขั้นตอนต่อไป นำไปเข้าเครื่องกลึงเพื่อความสวยงาม ละเอียด และกลมมากขึ้น เมื่อกลึงเสร็จแล้ววัดและตัดขยาดความยาว ลูกแรกยาว 60 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์ 7 เซนติเมตร ลูกต่อมาลดลงตามส่วน ห่างกันลูกละ 1 เซนติเมตร ลูกสุดท้ายยาว 29 เซนติเมตร
ขั้นตอนต่อไป นำไม้มาวัดหัวท้ายข้างละ 12 เซนติเมตร และลดลงตามส่วน ลูกล่างสุดวัดได้ 6 เซนติเมตร ในแต่ละข้าง เรียงไม้ให้สม่ำเสมอกัน แล้วนำมีดมาถากให้มีลักษณะเว้าทั้ง 2 ข้าง ของลูกโปงลาง แล้วนำมาแต่งเสียงโดยวิธีการตัดไม้ออก และเทียบเสียงให้เข้ากับ โปงลางต้นแบบ ขั้นตอนสุดท้าย เจาะรู โดยวัดเข้ามาวิธีเดียวกันกับการถากลูกโปงลางให้เว้า

การเทียบเสียง
เสียง โปงลางถ้าใช้กับวงพื้นบ้านอีสานทั่วไป จะใช้ แคน เป็นหลักในการบันทึกเสียง แต่ถ้าจะใช้บรรเลงกับวงดนตรีสากล จะต้องใช้ คีย์บอร์ด, อิเล็คโทนในการเทียบเสียง หรือไม่ก็ใช้เครื่องเทียบเสียงสากล ในการเทียบเสียงลูกโปงลางในแต่ละลูก เสียงที่ได้มาจะเข้ากับเครื่องดนตรีสากลได้เป็นอย่างดี

เอกลักษณ์การฟ้อนภาคอีสาน

ดูอย่างไรว่าเป็นการฟ้อนพื้นบ้านอีสาน

การ ฟ้อนของภาคอีสานนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ที่ผู้ชมสามารถแยกแยะได้ทันทีว่าต่างจากภาคอื่นๆ แม้จะไม่มีการประกาศให้ทราบล่วงหน้าก่อนการแสดงซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

  1. ท่วงทำนองของดนตรี จังหวะ ลีลาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น มีความสนุกสนานเร้าใจแตกต่างจากภาคอื่นๆ ของไทย
  2. การแต่งกายของผู้แสดง ทั้งนักแสดงหญิงและชายจะมีความเด่นชัด ในฝ่ายหญิงจะนุ่งซิ่นมัดหมี่ สวมเสื้อแขนกระบอก ห่มผ้าสไบหรือแพรวา ผมเกล้ามวย ฝ่ายชายจะสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งโสร่งผ้าลายเป็นตาๆ ก็พอจะบอกได้ว่าเป็นการแสดงของอีสาน
  3. เครื่องดนตรี นับเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของภาคอีสานอบ่างชัดเจน พิณ แคน โปงลาง โหวด ไหซอง กลองตุ้ม ถึงแม้จะยังไม่มีการบรรเลงก็พอจะบอกได้ว่า การแสดงต่อไปนี้จะเป็นการแสงของภาคอีสาน
  4. ภาษาอีสาน แน่นอนว่าเป็นภาษาเฉพาะถิ่นที่มีสำเนียงที่แตกต่าง เป็นการชี้ชัดว่าเป็นการแสดงของภาคอีสาน
ท่าฟ้อนพื้นบ้านอีสาน

ท่า ฟ้อนของภาคอีสานนั้นมีความเป็นอิสระสูง ไม่มีข้อจำกัดตายตัวทั้งมือและเท้า ส่วนใหญ่ท่าฟ้อนจะได้มาจากท่าทางหรืออริยาบถธรรมชาติ และมีท่าพื้นฐานที่แตกต่างกันไปเฉพาะถิ่น เช่น ฟ้อนผู้ไท ฟ้อนผีฟ้า ฟ้อนไทยดำ เรือมอันเร เป็นต้น
ถึงแม้จะมีความคิดที่จะพยายามกำหนดท่าฟ้อนของภาคอีสานให้เป็นแบบฉบับขึ้น มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับนาฏศิลป์ภาคกลางที่มี "ท่าแม่บท" เป็นพื้นฐานในการฟ้อนรำนั้น เป็นแนวคิดหนึ่งที่ต้องการให้การฟ้อนภาคอีสานมีระบบ และหลักเกณฑ์ที่แน่นอนขึ้น ซึ่งไม่น่าจะเป็นแนวคิดที่ถูกต้องนัก เพราะจะเป็นการตีกรอบให้ตัวเองมากเกินไป ซึ่งตามจริงแล้วท่าฟ้อนของอีสานมีความเป็นอิสระไม่มีการกำหนดท่าแน่นอนตาย ตัวว่าเป็นท่าอะไร ขึ้นอยู่กับผู้ประดิษฐ์ท่ารำจะตั้งชื่อว่าเป็นท่าอะไร ความเป็นอิสระนี่เองที่ทำให้เกิดท่าฟ้อน ชุดใหม่ๆ ที่แปลกตา สวยงามยิ่งขึ้น

ท่าฟ้อนที่เป็นแม่แบบส่วนใหญ่นำมาจากกลอนลำ ซึ่งเรียกว่า "กลอนฟ้อน" เป็นกลอนยาวใช้กลอนเจ็ดแปดหรือกลอนเก้าแล้วแต่ผู้แต่งถนัดแบบใด การฟ้อนเป็นศิลปอันหนึ่งที่มาพร้อมกับการลำ การฟ้อนจะมีกี่แบบไม่ปรากฏแน่ชัด แต่หมอลำจะแต่ง กลอนฟ้อนแบบต่างๆ ไว้ ในขณะที่ลำหมอลำจะฟ้อนแสดงท่าทางตามกลอนที่แต่ง ดูแล้วเป็นการสนุกสนาน เช่น กลอนฟ้อน ของหมอลำเปลี่ยน วิมลสุข
มีความพยายามในการแบ่งท่ารำภาคอีสานออกมาให้ชัดเจนซึ่งมีหลายสำนัก เช่น จิราภรณ์ วุฒิพันธ์ (นาฏศิลป์อีสาน) ได้แบ่งออกเป็น 32 ท่า ดังนี้

  1. ท่าแฮ้งตากขา
  2. ท่ากาตากปีก
  3. ท่าหลีกแม่ผัว
  4. ท่าคว้าหำปู
  5. ท่าไกวอู่กล่อมหลาน
  6. ท่าหนุมานคลุกฝุ่น
  7. ท่าตุ่นเข้าอู่
  8. ท่าหนุมานถวายครูพิเภก
  9. ท่าหนุมานถวายแหวน
  10. ท่าแห่บั้งไฟแสน
  11. ท่าเมาเหล้า
  12. ท่าลำเจ้าชู้หยิกหยอกตาหวาน
  13. ท่านักเลง
  14. ท่ากวยครูมวยซิต่อย
  15. ท่ากินรีเที่ยวชมดอกไม้
  16. ท่านกยูงรำแพน
  1. ท่าผีไท้ลงข่วง
  2. ท่าพายเฮือส่วง
  3. ท่าลำเกี้ยวกันพวกหมอลำคู่
  4. ท่าลำหมู่ออกท่าลำเพลิน
  5. ท่ามโนราห์เหาะเหิรบินบนขึ้นเลิ่น
  6. ท่ารำโทนสมัยก่อน
  7. ท่าเสือออกเหล่า
  8. ท่าเต่าลงหนอง
  9. ท่าปลาชะโดลงคลอง
  10. ท่าแอะแอ่นแหงงมือให้เรียบ
  11. ท่านักมวย
  12. ท่างัวชนกัน
  13. ท่าคนโบราณเลื่อยแป้น
  14. ท่าสาวเตะกล้า
  15. ท่าผู้เฒ่าจับอู่โหย่นหลาน
  16. ท่าแม่ลูกอ่อนกินนม

ส่วน วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ดได้คิดประดิษฐ์ชุดฟ้อนขึ้นโดยกำหนดว่าท่าแม่บท อีสานมีอยู่ 48 แม่ท่า เช่น ท่าพรหมสี่หน้า ท่าทศกัณฑ์เกี้ยวนางมณโฑ ท่าช้างเดินตามแม่ ท่าช้างชูงวง ท่ากาเต้นก้อน ท่ากากางปีก ท่าหลีกแม่เมีย ท่าลมพัดพร้าว ท่าท่าเสือออกเหล่า ท่าเต่าลงหนอง ท่าคนขาแหย่ง ท่าปู่สิงหลาน ท่าผู้เฒ่าฟังธรรม ท่าเกียจับไม้ ท่าบินนางมโนราห์ เป็นต้น

ลักษณะท่ามือและท่าเท้าการฟ้อนพื้นบ้านอีสาน
  1. ท่ามือ ถ้าพิจารณาการเคลื่อนไหวของมือ คงเหมือนกับคำกล่าวที่ว่าท่าฟ้อนของอีสานเหมือน "ม่อนท่าวใย" คงเห็นภาพพจน์ได้ดีจากการฟ้อนของหมอลำที่หมุนมือพันกันคล้ายกับตั่วม่อนชัก ใยพันตัว ท่าฟ้อนของภาคอีสานนั้นได้มาจากธรรมชาติคือมีความเป็นอิสระ ขึ้นอยู่กับลีลาของผู้ฟ้อนที่จะขยับมือเคลื่อนกายไปอย่างไร
    • การจีบมือ ของชาวอีสานนั้นนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ไม่จดกัน จะห่างกันเล็กน้อยซึ่งแตกต่างจากการจีบของภาคกลาง ไม่สามารถเอาหลักนาฏศิลป์ของภาคกลางมาจับท่าฟ้อนของชาวอีสานได้ เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าจะจีบหงาย จีบคว่ำตอนไหน
  2. ท่าเท้า ท่าเท้าของการฟ้อนแบบอีสานมีลีลาแตกต่างจากภาคกลางเช่นเดียวกัน ซึ่งพอจำแนกท่าเท้าที่ใช้ในการฟ้อนได้ดังนี้
    • ท่าซอยเท้า เช่น การรำเซิ้ง การซอยเท้าให้เข้าจังหวะกลอง โดยเปิดส้นเท้าเล็กน้อย ย่อเข่ายกส้นเท้าขึ้นไปด้านหลังให้มากที่สุด ซอยเท้าอย่างสม่ำเสมอ การรำเซิ้งนั้นมิใช่ยกเท้าให้ส้นเท้าสูง หรือยืนโดยอาศัยปลายเท้าคล้ายการเต้นบัลเล่ย์ซึ่งดูแล้วตลกผิดธรรมชาติ แต่เป็นการเปิดส้นเท้าเพียงเล็กน้อยเพื่อสะดวกในการซอยเท้า ซึ่งท่านี้ก็ไม่ใช่การย่ำเท้าอยู่กับที่โดยเหยียบเต็มฝ่าเท้า
    • ท่าเท้าของผู้ไทเรณูนคร การฟ้อนผู้ไทเรณูนครนอกจากจะมีการก้าวเดินตามธรรมดาแล้ว ยังมีอีกท่าหนึ่งซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของเรณูนครเท่านั้น คือมือบนจีบข้างหูโดยปลายนิ้วที่จีบจะหันเข้าข้างหู แล้วส่งจีบผ่านใต้รักแร้ไปด้านหลัง แทงปลายมือไปด้านหน้าในลักษณะคว่ำมือม้วนมือมาจีบไว้ข้างหูดังเดิม สลับกันไปทั้งมือซ้ายและมือขวา คือ ถ้ามือซ้ายจีบไว้ข้างหู มือขวาก็จะส่งไปข้างหลัง
      ส่วนท่าเท้าก็จะใช้ 4 จังหวะ คือ ขย่มตัว 2 จังหวะ ถ้ามือไหนส่งหลังกำลังจะแทงไปข้างหน้า ก็ใช้เท้าด้านนั้นแตะพื้น 4 ครั้ง อีก 2 จังหวะ โดยครั้งที่ 4 จะเหยียบขย่มตัว 2 จังหวะ ใช้เท้าอีกข้างหนึ่งแตะพื้น 4 ครั้ง แล้วเหยียบกันไปมาซึ่งจะสอดคล้องกับท่ามือที่เคลื่อนไหวไปมา
    • ท่าเท้าของผู้ไทกาฬสินธุ์ ท่าเท้าของการฟ้อนผู้ไทในจังหวัดกาฬสินธุ์และการฟ้อนโปงลางจะใช้ท่าก้าวเท้า เช่นเดียวคือ การก้าวไขว้เท้าโดยเตะเท้าไปข้างหน้าก้าวไขว่ขย่มตัว ชักเท้าหลังเตะไปด้านหน้าไขว่เท้าขย่มตัวสลับกันไป ลักษณะคล้ายกับการเต้นควิกสเต็ป ที่แตกต่างกันก็คือการเตะเท้าไปข้างหน้า นอกนั้นใช้หลักการก้าวเท้าเช่นเดียวกับการเต้นควิกสเต็ป
    • ท่าสืบเท้าหรือกระถดเท้าไปด้านข้าง ท่านี้จะใช้ในการฟ้อนผู้ไทในจังหวัดกาฬสินธุ์ เช่นกัน เป็นการก้าวชิดก้าว แต่เป็นการก้าวเท้าไปทางด้านข้าง มีลักษณะเช่นเดียวกับการสไลด์เท้าไปทางด้านข้างนั่นเอง

ชุด ฟ้อนของภาคอีสานส่วนใหญ่จะใช้การก้าวเท้าลักษณะเดียวกับการรำเซิ้ง จะมีพิเศษอีกแบบหนึ่งคือ ท่าเท้าของผู้ชายในการฟ้อนผู้ไท จะใช้ลีลาการก้าวเท้าของการรำมวยที่เรียกว่า การรำมวยลาว หรือรำมวยโบราณ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกแบบหนึ่ง

การรำกลองยาว

การรำกลองยาว มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น เถิดเทิง เทิ่งบองกลองยาว สันนิษฐานว่าแต่เดิมเป็นการเล่นของพวก
ทหารพม่าในสมัยที่มีการต่อสุ้กันปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และเข้าใจว่าคนไทยนำมาเล่นในสมัยกรุงธนบุรี เพราะ
จังหวะ สนุกสนานเล่นง่าย เครื่องดนตรีก็คล้ายของไทยและจังหวะก็ปรับมาเป็นแบบไทย ๆ เพื่อประกอบการรำ แต่การแต่งกายยังคงคล้ายรูปแบบของพม่า เช่น โพกหัวแบบพม่า นุ่งโสร่ง เสื้อคอกลมแขนกว้าง แต่บางครั้งจะพบแต่งกายตามสบาย โอกาสที่แสดงนิยมในงานรื่นเริง เช่น ขบวนแห่นาค ขบวนแห่ผ้าป่า กฐิน งานฉลอง ขบวนขันหมาก ผู้รำร่วมก็จะแต่งกายตามสบาย แต่จะนิยมประแป้งพอกหน้าให้ขาว ทัดดอกไม้ เขียนหนวดเครา แต้มไฝ ลีลาท่าทางอาจจะ
แปลกพิสดารที่ทำให้ชวนหัวเราะ ยั่วเย้ากันเองในหมู่พวกหรือคนดู และบางครั้งก็อาจไปรำต้อนคนดูเข้ามาร่วมวงสนุกไปด้วย ผู้รำจะมีทั้งชายและหญิง ส่วนพวกตีเครื่องประกอบจังหวะก็จะทำหน้าที่ร้องและเป็นลูกคู่ไปด้วย
ลักษณะการแสดงรำกลองยาว
***** เครื่องดนตรี ประกอบด้วยกลองยาวหลายขนาด ซึ่งจะให้เสียงต่างกันออกไปจำนวนไม่จำกัด มีเครื่องประกอบจังหวะอื่น ๆ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง และปี่ชวาการโห่ร้อง เป็นที่นิยมของการรำกลองยาวก่อนจะเริ่มบรรเลง จะมีการโห่สามลา โดยผู้นำวงจะโห่ยาว และลูกคู่จะร้องรับด้วยคำว่า ฮิ้ว กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง จะรัวรับสามครั้ง จากนั้นกลองจะบรรเลงเป็นจังหวะประกอบท่ารำเพลงร้องประกอบ เป็นเพลงง่าย ๆ สนุกนาน เนื้อหาไม่เป็นสาระ ไม่บอกประวัติ หรือตำนานใด ๆ การแสดงประกอบอื่น ๆ ในการรำกลองยาว หรือเถิดเทิงหรือเทิ่งบอง เป็นการเรียกเลียนจากเสียงของกลองยาว ในระยะต่อ ๆ มา มีการนำการแสดงอย่างอื่นเข้ามาประกอบ เช่น หัวโต หัวจุก เจ้าแกละ ทำจากไม้ไผ่สานเป็นโครงและใช้กระดาษแปะระบายสี ทำเป็นหัวคนขนาดใหญ่ โดย
มาก มักจะทำเป็นหัวเด็กที่ไว้ผมจุกและผมแกละ ผู้เล่นจะนำหัวโตมาวมครอบหัวตัวเองแล้วเต็นไปตามจังหวะกลองยาวกระตั้วแทง เสือ มีตัวแสดง ๓ ตัว คือ เสือ นายกระตั้ว และเมียดำเนินเรื่องโดยนายกระตั้วและเมียออกไปหาผลไม้ในป่าและบังเอิญพบเสือ จึงมีการต่อสู้กัน ความสนุกสนานของการเล่นหรือการแสดงกระตั้วแทงเสือจะอยู่ที่ตัวแสดงที่เป็น เมียนายกระตั้ว เพราะนำผู้ชายมาแต่งตัวและเล่นเลียนแบบท่าทางของผู้หญิงอย่างกระโดกกระเดก น่าขัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องหนีเสือจนผ้าถุงหลุดลุ่ย แต่ในที่สุดนายกระตั้วก็สามารถแทงเสือตาย ขณะที่เล่นนี้ กลองยาวก็จะบรรเลงล้อมวงไปด้วยระยะเวลาการแสดง ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงขึ้นไป

โรคตาแดง

โรคตาแดง (Epidemic Kerato Conjunctivitis)

ตาแดง

เป็นโรคติดต่อที่ระบาดง่าย เกิดจากการอักเสบของเยื้อบุตาจากการติดเชื้อไวรัสอาคิโนไวรัส ส่วนใหญ่จะติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสต้ำตาของผู้ป่วยไม่ติดต่อกันทางสบสายตา หรือทานอาหารร่วมกัน มักเกิดในที่มีคนอยู่รวมกันมาก ๆ เช่นโรงเรียน โรงงาน ชุมชนแออัด เป็นต้น มักพบผู้ติดเชื้อไวรัสตาแดงในฤดูฝน ระยะเวลาของโรค 5-14 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น

อาการ

อาการเกิดได้ภายใน 1-2 วัน ระยะการติดต่อไปยังผู้อื่นประมาณ 14 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการตาแดง เคืองตา น้ำตาไหล เจ็บตา มักมีขี้ตามาร่วมด้วย ต่อมน้ำเหลือง หน้าหูมักเจ็บและบวม มักเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน และจะติดต่อมายังอีกข้างได้ ถ้าระมัดระวังไม่ให้น้ำตาข้างที่ติ่ดเชื้อไวรัสมาถูกตาอีกข้างที่ดี ก็จะช่วยป้องกันตาข้างที่ยังไม่มีอาการได้
โรคแทรกซ้อน
มีอาการเคืองตามาก ลืมตาไม่ค่อยได้ เกิดจากกระจกตาอักเสบซึ่งจะดีขึ้นได้ภายใน 3 วัน สัปดาห์หรือบางรายเป็น 1-3 เดือน ทำให้ตามัว และพร่าอยู่เป็นเวลานาน

การป้องกัน

  1. แยกของใช้ส่วนตัว ไม่ให้ผู้อื่นมาใช้ร่วม และหมั่นล้างมือฟอกสบู่บ่อย ๆ
  2. พัก ผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่ควรใช้สายตามากถ้าไม่จำเป็น เด็กที่เป็นโรคตาแดง ไม่ควรให้ไปโรงเรียนเพราะจะนำโรคไปติดต่อเพื่อนได้ ผู้ใหญ่ควรหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้านจนกว่าจะหายตาแดง
  3. ประคบตาด้วยผ้าเย็น เช็ดน้ำด้วยสำลีสะอาด ชุบน้ำต้มสุกจะช่วยให้รู้สึกสบายตามากขึ้น

การรักษา

รักษาตามอาการของโรคเนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสนี้โดย ตรง ถ้ามีขี้ตามากควรหยอดยาปฏิชีวนะ มีไข้เจ็บคอ ก็ใช้ยาแก้อักเสบร่วมด้วยกับยาลดไข้ ยาลดปวด และพยายามพักผ่อนให้มาก โดยเฉพาะการใช้สายตาในช่วงที่มีอาการตาแดงอย่างรุนแรง ไม่ควรนอนดึก ควรนอนให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องปิดตาไว้ตลอดเวลา ไม่ควรให้เชื้อไวรัสแพร่กระจาย ควรงดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน ทุกครั้งที่จบตาควรล้างมือให้สะอาด ผู้ป่วยไม่ควรเล่นน้ำในสระเพราะจะแพร่กระจายไวรัสไปในน้ำได้

ใจของคุณเป็นอย่างนี้บ้างไหม

ว่าง ๆ ลองสำรวจดูใจของคุณว่ามีลักษณะเช่นนี้หรือไม่? เป็นคนใจอ่อน ใจง่าย ไม่หนักแน่น ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมด เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด มักทำอะไรเพื่อตามใจคนอื่นมากกว่าที่จะทำเพราะความพอใจตนเอง หรือทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องควรจะเป็น ใจของคุณจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของคนรอบข้างเสมอ ถ้ายิ่งมีจุดอ่อนมากเท่าใด ก็ยิ่งตกเป็นเครื่องมือของคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ใจอ่อน ก็จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของลูก ลูกจะเอาอะไรก็ต้องสรรหามาให้ วัยรุ่นที่ใจอ่อนก็ต้องคอยตามใจเพื่อน เพื่อนจะชักจูงให้ทำอะไรก็ทำตาม คนใจอ่อนเมื่อทำงานก็คงเป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้ เพราะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี จึงจะเลิกเป็นคนใจอ่อนให้ใคร ๆ หลอก ให้เป็นทาสรับใช้ของเขาตลอดไป
คงจะต้องเริ่มต้นด้วยการค้นหาจุดอ่อนของตัวคุณเองให้พบเสียก่อน แล้วจึงทำการแก้ไข คุณที่รู้ตัวว่าเป็นคนใจอ่อน ลองสำรวจตัวเองว่ามีจุดอ่อนดังต่อไปนี้หรือไม่
1. คุณมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจ ความรู้สึกผิดนี้เองเป็นจุดอ่อนที่ทำให้คุณพยายามทำในสิ่งต่าง ๆ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด เช่น พ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกจะรู้สึกผิดที่ทำหน้าที่ของพ่อแม่บกพร่องไม่ ครบถ้วน ไม่สมบูรณืแบบจึงชดเชยด้วยการปรนเปรอลูกด้วยสิ่งของหรือตามใจมากเกินไปจนลูก เคยตัวและเสียนิสัย ทั้งที่ความจริงแล้ว พ่อแม่ไม่ได้เจตนาจะสร้างนิสัยเช่นนั้นให้กับลูก
2. คุณกลัวความขัดแย้งและกลัวว่าคนอื่นจะโกรธ กลัวคนอื่นจะไม่พอใจ ความกลัวแบบนี้เป็นจุดอ่อนทำให้คุณต้องเป็นฝ่ายยอมให้คนอื่นอยู่ร่ำไป ไม่กล้าขัดใจใคร ทั้งที่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่คุณต้องฝืนใจอย่างที่สุด เช่นภรรยาที่สงสัยว่าสามีจะนอกใจ แต่ไม่กล้าซักถามเพราะกลัวสามีโกรธพาลทะเลาะกันให้อายลูก ๆ อายคนในบ้านใกล้เรือนเคียง เลยต้องทนทุกข์ระทมขมขื่นอยู่คนเดียว อย่างนี้เป็นต้น
3. คุณเป็นคนขี้สงสาร ใครมาขอให้ช่วยก็ช่วยเขาไปหมด ใครมาเล่าความทุกข์ความลำบากให้ฟังก็เชื่อเขาง่าย ๆ ให้เงินเขาไปง่าย ๆ โดยไม่ทันพิจารณาก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ บางคนมีจุดอ่อนที่เห็นน้ำตาเป็นไม่ได้ เช่นลูกร้องไห้อยากได้ของเล่นก็ต้องรีบหาซื้อให้ เพราะแพ้น้ำตาของลูก หรือคนที่เรารัก
4. คุณเป็นคนชอบคำเยินยอชอบให้ใครมาปรนนิบัติเอาใจ ใครมาทำดีกับคุณพูดดีกับคุณหน่อย คุณก็ยอมเขาไปหมดโดยไม่หยุดคิดเลยว่าคนนั้นเขาจริงใจกับคุณแค่ไหน ถ้าคุณมีจุดอ่อนแบบนี้ คุณจะถูกหลอกใช้หรือถูกหลอกเอาทรัพย์สินไปได้ง่ายมาก
5. คุณกลัวคนอื่นจะไม่ชอบคุณ เป็นความจริงที่คนหลาย ๆ คนกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นคนที่ไม่มีใครรัก ไม่มีใครชอบ ไม่มีเพื่อนเลยต้องพยายามตามใจคนอื่นให้มากเข้าไว้เพื่อเขาจะได้พอใจ ชอบใจและไม่เกลียดคุณ แต่จุดอ่อนแบบนี้จะทำให้คุณต้อสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
6. คุณกลัวภัยอันตราย นี่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ถ้าคุณเป็นคนขวัญอ่อนถูกใครข่มขู่เข้าหน่อย กลัวมาก บางครั้งคุณจึงต้องยอมทำตามคำขู่มากกว่าจะกล้าทำในสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง
7. คุณกลัวเพื่อนร่วมงานของคุณจะไม่พูดด้วย เพราะบางคนให้ความสำคัญกับเพื่อนคนใดคนหนึ่งมากจนเกินไป จึงต้องคอยตามใจเพื่อนกลัวว่าถ้าทำให้เพื่อนโกรธแล้วเพื่อนจะไม่พูดด้วย ตามความเป็นจริงแล้วเพื่อนนั้นมีหลายคน ถ้าไม่พูดด้วยสักคนก็ไม่เห็นน่าจะเดือดร้อนที่ตรงไหน ทำตัวตามสบายดีกว่า หายโกรธแล้วก็คงพูดกันเองคบกันเป็นเพื่อนต่อไปได้
8. คุณไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่นเพราะกลัวว่าจะทำผิด จุดอ่อนนี้จะทำให้คุณต้องเป็นผู้ตามไปตลอดชีวิต คุณคงลืมคิดไปว่า บางครั้งสิ่งที่คนอื่น ๆ เขาทำกันนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกเสมอไปก็ได้ ถ้าคุณเอาแต่คล้อยตามเขาไปโดยไม่คิด คุณก็อาจจะพลอยทำผิดตามไปด้วย และที่สำคัญคุณจะไม่มีความภาคภูมิใจ และไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเองเลย
จุดอ่อนที่ทำให้คุณเป็นคนใจอ่อนทั้ง 8 ข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คุณอยู่ในข้อไหนบ้าง ถ้าไม่มีเลยคุณก็เป็นคนใจแข็งอย่างน่าชมเชย แต่ถ้าคุณเป็นคนใจอ่อน ก็อย่าเพิ่งตกใจ ยังมีทางแก้ไขได้ดังนี้
คุณลองถามใจของคุณดูว่า คุณมีความสุขดีอยู่หรือที่ต้องยอมฝืนใจตัวเอง แล้วตามใจใครต่อใครอยู่เรื่อย ๆ คุณชอบหรือที่จะให้ใคร ๆ หลอกใช้คุณ หรือมีอิทธิพลเหนือคุณ ถ้าคุณไม่ชอบ ไม่พอใจ และไม่มีความสุข คุณจะมีวิธีปฏิเสธไม่ยอมตามใจใครอย่างไร เช่น ถ้าลูกคุณร้องไห้รบเร้าให้ซื้อของเล่น คุณจะรีบเดินหนีไปที่อื่น หรือถ้าเพื่อนชวนหนีโรงเรียน คุณจะปฏิเสธว่าไม่ไปเพราะไม่ชอบ เป็นต้น เมื่อคิดวางแผนแล้วว่าจะพูดจะทำอย่างนี้แล้ว ก็ควรทำให้ได้ตามที่คิดไว้ด้วย
เมื่อทำครั้งนี้สำเร็จ คุณจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองที่ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจใคร รู้สึกว่าศักดิ์ศรีคุณกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จำความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณไม่ใจอ่อนอีกในคราวหน้า
คุณต้องไม่ลืมว่า คนที่ใจอ่อนชอบตามใจคนอื่นถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ใคร ๆ ชอบก็จริง แต่ก็จะเป็นคนที่ไม่มีใครเกรงใจ เพราะฉะนั้นเลิกใจอ่อนเสียที ทำตัวให้คนอื่นเกรงใจดีกว่า คนอื่นอาจชอบคุณน้อยไปหน่อย แต่ก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นคน เป็นตัวของตัวเองดีกว่าเป็นไหน ๆ

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด

เครียด เป็นภาระที่ทุกคนไม่อยากประสบพบพาน แต่คงไม่มีใครที่ไม่เคยเครียด ดังนั้นมาทำความรู้จักกับความเครียด และวิธีการคิดเพื่อที่จะได้ไม่เครียดกันดีกว่า
ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดจากการตื่นตัวเตรียมรับกับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องที่เกิดกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์และส่งผลทำให้เกิดอาการผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจตามไปด้วย
ความเครียดนั้นมีกันทุกคน แต่ละมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาการคิดการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าคิดว่าปัญหาไม่ร้ายแรงแก้ไขได้โดยง่าย ก็จะไม่เครียด แต่ถ้าหากว่าปัญหานั้นยิ่งใหญ่ ร้ายแรง แก้ไขลำบาก ก็จะทำให้เครียดมาก หากว่ามีความเครียดในระดับที่พอดี ๆ ก็จะช่วยให้มีพลัง มีความกระตือรือร้นในการต่อสูงชีวิต ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งนี่เองคือข้อดีของความเครียด ไม่ใช่ว่าเครียดจะไม่มีส่วนดี ๆ เอาเสียเลย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดมี 2 ประการคือ
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการปรับตัว ปัญหาการเรียน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ล่วนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เกิดความเครียดได้
2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล จะสังเกตได้ว่าคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจัง ใจร้อนและวู่วาม
จากสาเหตุที่สำคัญนี้ ความเครียดจะไม่เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกันคือ มีสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวกระตุ้น แล้วมีความคิดและการประเมินสถานการณ์เป็นตัวบ่งว่าจะเครียดมากเครียดน้อย เพียงใด
เมื่อปัญหากระตุ้นให้เกิดความเครียด การลดความเครียดจึงจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีคิดที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งวิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง
2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วยสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีกด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบ กับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว

9 ลักษณะของประเทศที่ขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์

1. การเมืองของประเทศนี้ วนเวียนอยู่กับการใส่ร้ายป้ายสีด่าทอกัน นักการเมืองประเทศนี้จึงมีฝีปากกล้า ปัญญาด้อย เพราะมัวเสียเวลา ไปขุดคุ้ยหาเรื่องด่า จนไม่ค่อยมีเวลาคิดสร้างสรรค์พัฒนาบ้านเมือง

2. ละครประเทศนี้ ทุก ๆ สิบปี จะต้องมีบ้านทรายทอง ดาวพระศุกร์ และสลักจิต วนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกคนละครั้งสองครั้งเสมอ ไม่เชื่อไปถามนางสาวทองสร้อยดูได้

3. แฟชั่นของประเทศนี้ เน้นที่ยี่อห้อที่กำลังได้รับความนิยมในสังคมชั้นสูง สังเกตง่าย คนในประเทศนี้ เวลาออกไปไหนจะแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้ายี่ห้อเดียวกันทั้งกลุ่ม

4. วงการเพลงของประเทศนี้ มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ในการลอกเลียนทำนองเพลงของประเทศอื่น ๆ จนปัจจุบัน ได้ลามไปถึงการ ลอกมิวสิควีดีโอ ลอกเครื่องแต่งกาย ทรงผม ท่าเต้น ปกเทป ฯลฯ

5. การแจกรางวัลในประเทศนี้ ทั้งรางวัลของวงการบันเทิง หรือโฆษณาจะนิยมแจกกันงานละไม่ต่ำกว่า 4 - 5 โหล ทั้ง ๆ ที่มีผู้คิดสร้างสรรค์ อะไรใหม่ ๆ ขึ้นจริง ๆ ไม่ถึง 4 - 5 ราย

6. ในวงการโฆษณาที่ว่าเป็นแหล่งรวมนักคิดชั้นนำของประเทศนี้ ยังคงใช้วิธีเปิดหนังสือ และวีดีโอหนังโฆษณาของประเทศอื่น ๆ เพื่อก็อปปี้ เลียนแบบในประเทศนี้

7. นักศึกษาหญิงในคณะที่คะแนนสอบสูง ๆ ของประเทศนี้มีค่านิยมอยากทำงานเสิร์ฟบริการคนประเทศอื่นบนเครื่องบินมากกว่าอยากทำงาน ที่ได้ใช้สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์

8. เชียร์ลีดเดอร์ของประเทศนี้ ยังคงภูมิอกภูมิใจกับท่าเต้นเดิม ๆ โดยเฉพาะเชียร์ลีดเดร์ของสองมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศ ป้าคนที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์รุ่นหนึ่งหลังสงครามโลก ก็ยังสามารถเต้นเข้าจังหวะกับทีมเชียร์ลีดเดอร์น้องใหม่รุ่นปัจจุบันได้ สันนิษฐานว่า คงมีคำสาปมาจากคุณป้ารุ่นแรกว่า ถ้าใครคิดสร้างสรรค์ท่าอะไรขึ้นมาใหม่ ๆ มันผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป

9. ชื่อของประเทศนี้ ได้รับการตีพิมพ์บ่อยครั้งในกินเนสส์บุ๊คว่าเป็นเจ้าของสถิติที่สุดในโลกในด้านที่ไม่สร้างสรรค์อยู่มากมาย เช่น ไข่เจียวยักษ์ ธูปยักษ์ และล่าสุดจานบินทรงเจดีย์ยักษ์

เลิกบุหรี่เพื่อลูก

31 พฤษภาคม ของทุกปี คือวันงดสูบบุหรี่โลก ในปี 2544 นี้องค์การอนามัยโลกยังเดินหน้ารณรงค์ต่อไป โดยกำหนดคำขวัญไว้ว่า Second-Hand Smoke : Let's Clear the Air ถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า "เห็นใจคนรอบข้าง ร่วมสร้างอากาศสดใส ปลอดจากภัยบุหรี่
Second-Hand Smoke หรือ Passive Smoking คือการสูบบุหรี่มือสอง หมายถึง ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกายจากควันที่ผู้สูบสูด เข้าไปแล้วพ่นออกมา และจากปลายมวนบุหรี่ที่จุดทิ้งไว้ระหว่างการสูบ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การสูบบุหรี่มือสองในปริมาณมากและนานทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสูงขึ้น โดยเฉพาะมะเร็วปอด นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจ
ด้วยแนวคิดที่มุ่งลดการสูบบุหรี่มือสองโดยมุ่งเป้าหมายไปที่เด็ก ปีนี้มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่จึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ผลิตสื่อให้ผู้ปกครองร่วมโครงการ รวมทั้งประสานกับโรงเรียนอนุบาลในประเทศเน้นจุดหลักที่กรุงเทพฯ จำนวน 200 โรงเรียน
เศรษฐา ศิระฉายา นักแสดงชื่อดังที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ กล่าวว่า จริง ๆ แล้วการเลิกบุหรี่ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะบุหรี่นั้นอ่อนกว่ายาเสพติดชนิดอื่นตั้งเยอะ เพียงแต่ใจจะแข็งพอหรือไม่ เชื่อว่าพ่อทุกคนสามารถทำทุกอย่างเพื่อลูกได้ แค่การเลิกบุหรี่ทำไมจะทำไม่ได้
"ผมเลิกบุหรี่มาได้ 18 ปีด้วยแรงดลใจจากลูกเป็นสำคัญ พอน้องอีฟ ลูกสาวเกิดมาได้ 2 สัปดาห์ ผมก็เลิกสูบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะเป็นห่วงสุขภาพลูก เวลาที่พาลูกไปไหนก็จะห้ามทุกคนที่อยู่ใกล้สูบบุหรี่ด้วย อยากฝากถึงพ่อทุกคนที่สูบว่าถึงตัวเองจะไม่ตายเพราะบุหรี่ก็อาจทำให้ลูกของ เราต้องได้รับอันตรายได้"
รุจน์ รณภพ ผู้กำกับการแสดงเป็นอีกคนที่เลิกบุหรี่มาได้ 9 ปีแล้ว กล่าวว่า ลูกคือสาเหตุสำคัญ บุหรี่ขนาดเท่านิ้วก้อย ถ้าเอาชนะมันไม่ได้ แล้วจะไปชนะอะไร"
"เมื่อ 9 ปีก่อน ขณะที่กำลังนั่งเขียนบทภาพยนตร์อยู่ในห้องทำงาน ผมสูบบุหรี่ตลอดเวลา ควันก็อบอวนอยู่ในห้อง พอลูกกลับมาจากโรงเรียนเดินเช้ามา ก็ทำหน้าเแหย ๆ บ่นว่าเหม็น ให้เลิกสูบเถอะ ผมเห็นลูกในสภาพนั้นแล้ว ตั้งแต่วันนั้นก็เลิกเลย ทิ้งบุหรี่ที่มีไปทั้งหมด เลิกแบบหักดิบทันที จากที่เคยสูบวันละ 3 ซอง ถามว่าเป็นอะไรไหม บอกได้เลยว่าไม่เป็นไร หลายคนบอกว่าเลิกไม่ได้นั่นเป็นความเคยชิน"
ศ.น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ถ้าผู้ปกครองสูบบุหรี่ เด็กจะมีโอกาสได้รับควันบุหรี่อย่างมาก ถือเป็นการสูบบุหรี่มือสอง มีผลต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจ เด็กจะติดเชื้อง่าย เป็นหวัดบ่อย อาจถึงขั้นเป็นโรคหลอดลม-ช่องปากอักเสบและปอดบวมได้
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประเมินว่า ทุกวันนี้มีเด็กเกือบ 700 ล้านคน หายใจเอาอากาศปนเปื้อนควันบุหรี่เข้าสูงร่างกายโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในบ้าน และยังพบว่าทารกและเด็กเล็กที่ได้รับควันบุหรี่จะเกิดอาการระคายเคืองตา จมูก คอด ปอด ทำให้ไอ มีเสมหะ แน่นหน้าอก มีโอกาสเป็นโรคหืดเพิ่มขึ้น 2 เท่า ติดเชื้อทางเดินหายใจง่าย เป็นปัจจัยเสริมให้เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในอนาคต ส่วนทารกที่แม่ได้รับควันบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงของการเสียชีวิตระหว่างคลอด หรือพิการแต่กำเนิด และเสี่ยงต่อการเกิดโรคไหลตายในเด็กสูงขึ้น
"อยากเชิญชวนผู้ปกครองให้เลิกสูบ แต่เชื่อว่าหลายคนตั้งใจและเลิกสูบที่บ้านแล้วก็อยากให้เลิกสูบไปเลยไม่ว่า จะที่ไหน และมาเข้าร่วมชมรมกับเรา เพื่อสุขภาพและแบบอย่างที่ดี เพราะการสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่เสี่ยงอันตรายต่อผู้สูบมาก แต่คนทั่วไปไม่รู้จึงคาดการณ์ต่ำกว่าความจริง และพยายามจะไม่เชื่อถึงความร้ายแรงของมัน การวิจัยพบว่าหากสูบมาตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวันกลางคนอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 50 จะป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคร้ายจากบุหรี่ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งแม้จะไม่ป่วยตายแต่สุขภาพจะไม่ดี ไม่แข็งแรง
การที่จะเลิกได้นั้น ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ทันทีที่เลิกสูบจะลดความเสี่ยงลงทันที แต่ทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่า ถ้าสูบมานานแล้วเลิกไปคงไม่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นความจริง นอกจากนี้บางคนเคยพยายามเลิกแต่ไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ เพราะทั่วไปแล้วการจะเลิกได้นั้นต้องใช้ความพยายามมากกว่า 1 ครั้ง"
รู้กันโดยทั่วไปว่าบุหรี่เป็นสาเหตุที่สำคัญของโรคถึง 25 โรค โดยเฉพาะมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง และเส้นเลือดหัวใจตีบ จากสถิติพบว่า มีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ปีละ 4 ล้านคน หรือวันละ 11,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี คาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 10 ล้านคน หรือนาทีละ 20 คน
ได้เห็นได้ยิน ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ถ้าไม่ห่วงไม่รักตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมคิดถึงลูกน้อยตาดำ ๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้างละกัน

กงล้อแห่งความดี

จาก เส้นทางปฏิรูปการศึกษาไทย ปีที่ 1 ฉบับที่ 14 วันที่ 5 ตุลาคม 2542

ส่วนขอบรอบนอกของล้อรถหรือล้อเกวียน เรียกว่า "กง" สมัยก่อนกงล้อเกวียนทำด้วยไม้หลายชิ้นมาต่อกันเข้าเป็นวงกลม แต่ละชิ้นมีความแข็งแรงและถูกตรึงเป็นเนื้อเดียวกันด้วยสลัก คุณภาพของกงล้อย่อมเกิดจากคุณภาพของชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่นำมา ต่อตรึงเข้าด้วยกันอย่างมีคุณภาพ
"กงล้อของความเป็นครู" จะมีคุณภาพได้ก็ต้องอาศัยความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันอย่างมีคุณภาพของ "ชิ้นส่วน" ต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ ชิ้นส่วนกงล้อของความเป็นครูดีประกอบด้วย

1. คุณสมบัติดี คือ มีคุณสมบัติและคุณลักษณะดี เช่น ความรู้ ความสามารถ บุคลิกภาพ สุขภาพ คุณวุฒิ นิสัย วิสัยทัศน์ ค่านิยม คุณธรรมประจำตัว ประจำใจของครูแต่ละคน

2. ปฏิบัติตนดี คือ เป็นพลเมืองดีและปฏิบัติตามจรรยาบรรณครู

3. ปฏิบัติงานดี คือ วางแผนดี สอนดี แนะแนวดี จัดกิจกรรม การเรียนรู้ดี ปกครองดี ประเมินผลดี ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจดี และเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ทุกคน

4. ผลงานดี คือ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ฉลาด คิดเป็น เก่ง เป็นคนดี มีวินัย มีความสุข พึ่งตนเองได้

5. สวัสดิการดี คือ ได้รับผลตอบแทนเป็นสวัสดิการและความก้าวหน้าทางอาชีพอย่างเหมาะสมกับการปฏิบัติและผลงานที่เกิดขึ้น

6. ศักดิ์ศรีดี คือ ได้รับการยกย่องและให้เกียรติจากผู้ร่วมงาน ชุมชนและสังคมว่าเป็นผู้มีคุณค่าต่อชุมชน สังคมและประเทศ
ชิ้นส่วนทั้ง 6 นี้ ประกอบกันเข้าเป็นวงล้อแห่งความเป็นครูดี ไม่ต้องถามว่าจะเริ่มจากชิ้นส่วนใดก่อน เพราะมีหลายชิ้น ซึ่งสามารถเริ่มและดำเนินไปพร้อม ๆ กันได้

ภาษาสากล หรือภาษาที่โลกลืม
ภาษา ถือเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการอุบัติขึ้นของมนุษย์ในโลก กลม ๆ ใบนี้ แต่น่าใจหายไม่น้อย เมื่อทราบว่าภาษาอีกหลายร้อยหลายพันภาษาที่อยู่คู่กับมนุษย์มายาวนาน กำลังจะถึงกาลอวสาน หาผู้สืบทอดต่อไปไม่ได้ ด้วยเหตุผลสำคัญหลายอย่าง ก่อนหน้านี้ อาจจะเคยได้ยินคนพูดภาษาอูดิฮี ในแถวไซบีเรีย, ภาษาอียัค ในดินแดนอลาสกา หรือภาาาอะริคาปู ในป่าดงดิบแถบอเมซอน นับจากนี้ต่อไปอีกไม่นานนัก เราอาจจะไม่ได้ยินภาษาเหล่านี้แล้วก็ได้
ในจำนวนภาษาที่มนุษย์ใช้อยู่ทั่วโลกเวลานี้ มีถึง 6,800 ภาษา แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าภาษาเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่ง ถึงร้อยละ 90 อาจจะอันตรธานหาบสาปสูญไปจากโลกมนุษย์ภายใน100 ปีนี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? "สถาบันเวิลด์วอตช์" องค์กรเอกชนที่เฝ้าติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก นำข้อมูลที่ได้ศึกษามาเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า เหตุผลหนึ่งก็คือว่า กว่าครึ่งหนึ่งของภาษาที่ใช้กันทั่วโลก แต่ละภาษามีคนพูดน้อยกว่า 2,500 คน ซึ่งถือว่าน้อยเหลือเกิน และหนักหนาสาหัสมากที่จะธำรงรักษาให้ภาษาคงอยู่ต่อไปนี้
ด้านองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนส โกระบุว่า การสืบทอดภาษาให้คงอยู่ต่อไปจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกคนอีกรุ่นหนึ่งนั้นจำ เป็นต้องมีคนพูดภาษานั้น ๆ ได้อย่างน้อย 100,000 คนขึ้นไป
สำหรับ 10 ภาษาที่กลายเป็นภาษาสากลยอดนิยมที่มีจำนวนผู้พูดมากที่สุดในโลกนั้น ประกอบด้วย ภาษาจีนกลาง มีผู้พูดมากที่สุด 885 ล้านคน ภาษาสเปน 332 ล้านคน, ภาษาอังกฤษ 322 ล้านคน, ภาษาอารบิค 220 ล้านคน, ภาษาเบงกาลี 189 ล้านคน, ภาษาฮินดี 182 ล้านคน, ภาษาโปรตุเกส 170 ล้านคน, ภาษารัสเซีย 170 ล้านคน, ภาษาญี่ปุ่น 125 ล้านคน และภาษาเยอรมัน 98 ล้านคน
ในขณะที่ภาษาไทยของเรานั้น แน่นอนอยู่แล้วว่า 62 ล้านคนในประเทศไทย ต้องพูดภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่แสดงถึงวัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นไทยอยู่แล้วและต้องไม่ลืมว่า เรายังมีคนไทยที่ไปอาศัยอยู่ในต่างแดน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอนุรักษ์และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ นอกจากนั้นแล้ววิชาภาษาไทย ยังถูกบรรจุอยู่ในวิชาภาษาต่างประเทศของการศึกษาในระดับปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศบางประเทศด้วย ซึ่งเราควรจะภาคภูมิใจในภาษาไทยของเรา
ย้อนกลับมาที่ภาษาที่โลกลืมกันต่อ สงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ การยึดครองและภัยธรรมชาติรุนแรง กล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุหลักของการทำลายล้างภาษาให้สิ้นไปจากโลก เพราะมนุษย์จะเสียชีวิตไปเพราะสาเหตุเหล่านี้เป็นจำนวนมหาศาล พร้อม ๆ กับภาษาที่พวกเขาใช้ด้วย
เวิลด์วอตช์ระบุว่า ขณะนี้ มีคนพูดภาษาอูดิฮี ได้แค่ 100 คน ส่วนภาษาอะริคาปู มีคนพูดได้น้อยยิ่งกว่า เพียง 6 คนเท่านั้น แต่ที่น่าตกใจที่สุดเห็นจะเป็นภาษาอียัค ที่มีคนพูดได้เพียงคนเดียวในโลก คือคุณยายมารี สมิธ วัย 83 ปี อาศัยอยู่ในเมืองอันโชเรจ รัฐอลาสกา เธอคือคนสุดท้ายที่พูดภาษานี้ได้ และอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้าภาษาอียัค ก็จะสูญสิ้นไปพร้อมกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณยายวัยดึกผู้นี้
ดูแล้ว ภาษาอียัค น่าจะเป็นภาษาต่อไปที่สูญหายจากโลก คงเหลือแต่เพียงประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในหนังสือว่าครั้งหนึ่งยังมีภาษา นี้ใช้ในโลกมนุษย์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้รับทราบกันเพียงเท่านั้น
คงจะยังจดจำกันได้เป็นอย่างดีกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ที่สุดที่เกิดขึ้นในอินเดียในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้อนรับปีใหม่ของปี 2544 โดยได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงขึ้นในภาคตะวันตกของอินเดีย ทำให้มีประชาชนที่พูดภาษากุดจี ตายเป็นเบือ ประมาณ 30,000 คน เหลือผู้พูดภาษานี้จริง ๆ เพียง 770,000 คน เท่านั้น นับว่าเป็นเหตุการณ์วิปโยคที่นอกจากจะสร้างความเสียหายในด้านเศรษฐกิจแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าจะส่งผลกระทบอย่างร้ายกาจต่อมรดกวัฒนธรรมของประชาชนใน พื้นที่ด้วย
สถานการณ์ใกล้ "สูญพันธุ์" เริ่มเห็นราง ๆ แล้วสำหรับภาษากุดจี หากคน 770,000 คน ไม่ช่วยกันอุ้มชูรักษาไว้ ก็น่าจะสาปสูญไปเช่นกัน ตัวอย่างนี้น่าจะเห็นชัดว่า ภัยธรรมชาติเป็นอันตรายเพียงใดต่อวัฒนธรรมของมนุษย์
สำหรับ 8 ประเภทที่มีภาษาใช้อย่างดาษดื่นมากที่สุด ประกอบด้วย ปาปัวนิวกินี มี 832 ภาษา, อินโดนีเซีย 731 ภาษา, ไนจีเรีย 515 ภาษา, อินเดีย 400 ภาษา, เม็กซิโก แคเมอรูน และออสเตรเลีย มีประเทศละ 300 ภาษา และบราซิลมี 234 ภาษา โดยอินเดียนั้น มีภาษาราชการใช้ถึง 15 ภาษา มากกว่าประเทศอื่นใดทั้งหมด
การสูญสิ้นไปของภาษาพูดไม่ใช่เป็นของใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่เชื่อว่ามีภาษานับพันภาษาได้หาบสาปสูญไปก่อนหน้านี้แล้ว
บรรดานักภาษาศาสตร์เชื่อกันว่า ภาษาพูดของมนุษย์ 3,400 - 6,120 ภาษา อาจจะสูญหายภายในปี 2643 หรืออีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า ซึ่งก็เท่ากับจะมีภาษาพูดสูญหายไป 1 ภาษาในทุก 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีหลายภาษากำลังง่อนแง่นใกล้สูญไป แต่ยังมี 2 - 3 ภาษา ซึ่งก็รวมทั้งภาษาจีน, กรีก และฮิบรู อันเป็นภาษาโบราณที่ใช้กันมามากกว่า 2,000 ปี กำลังจะฟื้นคืนชีพรอดพ้นจากการสูญหายไป เนื่องจากมีผู้คนหันกลับมาพูดภาษาเหล่านั้นแล้วอย่างน่ายินดี
แม้ว่าภาษาบางภาษากำลังใกล้ถึง "จุดจบ" แต่ก็ใช่ว่า เจ้าของภาษาจะไม่ดิ้นรนขวนขวายเพื่อรักษาภาษาพูดของเขาไว้ชั่วลูกชั่วหลาน ต่อไป ในปี 2526 ชาวฮาวายได้จัดตั้งองค์กร "อะฮา ปูนานา ลีโอ" ขึ้นเพื่อพลิกฟื้นกอบกู้ภาษาพื้นเมืองของพวกเขาที่เคยใช้กันอยู่ทั่วไปบน เกาะฮาวายแห่งนี้ โดยจัดให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐด้วย ว่ากันตามความเป็๋นจริงแล้ว ภาษาพื้นเมืองของชาวฮาวายก็เกือบเอาตัวไม่รอดแล้วเช่นกัน เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯสั่งห้ามไม่ให้สอนภาษานี้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนบนเกาะ ฮาวายมาตั้งปี 2441 แล้ว
องค์กร "อะฮา ปูนานา ลีโอ" ซึ่งหมายถึง "เครือข่ายภาษา" ได้รื้อฟื้นเปิดสอนภาษาพื้นเมืองฮาวายในโรงเรียนอนุบาลในปี 2527 หลังจากที่สอนในโรงเรียนมัธยม จนสามารถผลิตนักเรียนรุ่นแรกที่จบหลักสูตรภาษานี้ในปี 2542 จนถึงขณะนี้ เป็นที่น่ายินดีอย่างมากว่า มีชาวฮาวายประมาณ 7,000 - 10,000 คน สามารถพูดภาษาพื้นเมืองนี้ได้ จากเดิมที่มีอยู่ไม่ถึง 1,000 คนเมื่อปี 2526 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียวสำหรับโครงการชุบชีวิตของภาษานี้ และน่าจะถือเป็นแบบอย่างได้สำหรับภาษาที่กำลังใกล้สูญหาย เพราะทำได้ในลักษณะเดียวกันนี้ก็ถือว่ายังไม่สายเกินแก้

ควันขาว ภัยที่ไม่ควรมอฃข้าม

ควันขาวจากจักรยานยนต์
ในปัจจุบันรถจักรยานยนต์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสภาพการจราจรแออัด จึงต้องการพาหนะที่มีความคล่องตัวสูง และสามารถขับเคลื่อนไปได้ดี
รถจักรยายนต์ที่ใช้มี ๒ ประเภท คือ รถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ ๒ จังหวะ และ ๔ จังหวะ ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ ๒ จังหวะ ได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากสามารถให้สมรรถนะเป็นที่พอใจแก่ผู้ขับขี่ มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ซ่อมแซมง่าย

ควันขาว

คือ กลุ่มของละอองน้ำมันหล่อลื่นที่ยังไม่เผาไหม้หรือเผาไหม้เพียงบางส่วน เมื่อกระทบกับบรรยากาศภายนอกที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ก็จะควบแน่น มองเห็นเป็นควันขาวออกมาจากท่อไอเสีย

สาเหตุของการเกิดควันขาว

เนื่องจากรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ จำเป็นต้องมีการหล่อลื่นชิ้นส่วนเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น เพลาข้อเหวี่ยง ลูกสูบ ผนังกระบอกสูง ตลับลูกปืน ฯลฯ ซึ่งส่วนผสมของอากาศ น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นที่อยู่ในส่วนผสมก็จะมีโอกาสสัมผัสกับ ชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่ในการหล่อลื่นและระบายความร้อน ต่อมาเมื่อส่วนผสมไหลออกมาจากห้องเพลาข้อเหวี่ยงเข้าไปในห้องเผาไหม้ น้ำมันหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบหลักเป็น mineral oil เช่น bright stock ซึ่งเป็นสารที่เผาไหม้ยาก จะไม่ถูกเผาไปพร้อมกับน้ำมันเชื้อเพลิง จึงทำให้บางส่วนของน้ำมันหล่อลื่นเกาะอยู่ตามผนังห้องเผาไหม้ และช่องระบายไอเสีย ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะระเหยแล้วผสมกับไอเสียไหลออกสู่บรรยากาศ ไอน้ำมันหล่อลื่นที่ยังไม่เผาไหม้เมื่อกระทบกับบรรยากาศภายนอกที่มีอุณหภูมิ ต่ำกว่าก็จะควบแน่นเป็นละอองน้ำมัน มองเห็นเป็นควันขาวที่ออกจากท่อไอเสียอย่างชัดเจน

น้ำมันหล่อลื่น

โดยทั่วไปคุณสมบัติของน้ำมันหล่อลื่นที่ดี ควรมีความสามารถในการหล่อลื่นสูง มีความต้านทานการครูดกร่อนของกระบอกสูบได้ดี มีความต้านทานต่อการติดเกาะของแหวนลูกสูบ ไม่ทำให้เกิดเขม่าแข็งอุดตันที่ช่องระบายไอเสีย และทำให้เกิดควันขาวน้อย แต่น้ำมันหล่อลื่นแบบธรรมดาส่วนใหญ่มักใช้ mineral oil เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งจะให้สมรรถนะในการหล่อลื่นที่ดี แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดควันขาวมาก และเกิดเขม่าแข็งอุดตันช่องระบายไอเสีย ปัจจุบันได้กำหนดมาตรฐานน้ำมันหล่อลื่นแบบลดควันขาว (Low Smoke) เป็นมาตรฐานบังคับ ซึ่งน้ำมันหล่อลื่นที่ได้มาตรฐานต้องทำให้เกิดควันขาวน้อยกว่าร้อยละ 30

อันตรายของควันขาว

อันตรายต่อร่างกาย
  • ทำให้มีอาการแสบและระคายเคืองตา
  • ระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ
  • ทำให้เกิดโรคมะเร็ง
  • อันตรายต่อสภาพแวดล้อม
  • ทำให้เกิดสภาพหมอกควัน บดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น
  • อันตรายต่อเครื่องยนต์
  • เกิดการอุดตันที่ช่องระบายไอเสียในเวลาอันรวดเร็วทำให้ไอเสียระบายออกได้ลำบาก
  • จังหวัดการระบายไอเสียผิดไปจากเดิม
  • เครื่องยนต์มีสมรรถนะต่ำ แรงม้าลดลง
  • ต้องทำการซ่อมบำรุงบ่อย

    วิธีที่จะลดปริมาณควันขาว

  • การลดอัตราส่วนผสมระหว่างน้ำมันหล่อลื่นต่อน้ำมัน เชื้อเพิลง แต่ยังคงรักษาสมรรถนะในการหล่อลื่นให้คงที่ ซึ่งทำให้ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันหล่อลื่นและวัสดุที่ใช้ผลิตเครื่อง ยนต์ให้ดีขึ้นตามคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต
  • การลดหรือเปลี่ยนองค์ประกอบหลักจาก mineral oil โดยใช้สารตัวใหม่ เช่น สาร polyisobutene ซึ่งสามารถทำหน้าที่ในการหล่อลื่นได้เหมือนกับ mineral oil และก่อให้เกิดควันขาวน้อย

    ประชาชนควรบำรุงรักษาเครื่องยนต์เพื่อป้องกันและลดควันขาว

  • ไม่ควรปรับแต่งวาล์วจ่ายน้ำมันหล่อลื่นให้มากขึ้นกว่าเดิมจากที่บริษัทกำหนดไว้
  • ใช้น้ำมันหล่อลื่นชนิดลดควันขาว (Low Smoke Oil) ที่ได้รับมาตรฐาน สมอ.
  • ไม่เติมน้ำมันหล่อลื่นในถังน้ำมันเชื่อเพลิง
  • หมั่นตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ตามคำแนะนำของผู้ผลิตอยู่เสมอ